วันพุธที่ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

สังขละบุรีในช่วงเวลาที่สะพานมอญขาด

     สังขละบุรีนั้นเป็นอำเภอเล็ก ๆ  ทางตะวันตกของประเทศติดกับชายแดนพม่า เป็นดินแดนที่ยังคงสภาพความสวยงามแบบพื้นบ้าน วัฒนธรรมชาวมอญ สิ่งปลูกสร้างที่เกิดจากแรงงานล้วน ๆ และสถาปัตยกรรมที่สวยงาม

     การเดินทางครั้งนี้ ผมและเพื่อน ๆ  เลือกที่จะเดินทางด้วยรถยนต์ส่วนตัวเหมือนเช่นเคย เพื่อที่จะได้ดื่มด่ำกับบรรยากาศข้างทาง และแวะพักแวะชมในสถานที่ต่าง ๆ  ที่น่าสนใจ

     พวกเราเริ่มออกเดินทางกันตอนสาย ๆ  จากตัวเมืองกาญจนบุรี มุ่งหน้าตามถนนแสงชูโตไปทางน้ำตกไทรโยค แต่เป้าหมายเราไม่ใช่ที่นี่ เราจึงเดินทางไปต่อจนถึงจุดแวะพักแรกของเราตอนเที่ยงวันพอดี นั่นคือน้ำตกเกริงกระเวีย

     น้ำตกเกริงกระเวีย เป็นน้ำตกที่อยู่ในบริเวณเขตอุทยานแห่งชาติเขาแหลม ตั้งอยู่ริมทางหลวงหมายเลข 323 (ทองผาภูมิ-สังขละบุรี) ห่างจากตัวเมืองกาญจนบุรีประมาณ 173 กิโลเมตร เป็นน้ำตกขนาดเล็กที่สามารถมองเห็นได้จากบนถนน เป็นจุดพักรถยอดนิยมสำหรับผู้ที่เดินทางไป อช.เขาแหลม และสังขละบุรี


เบื้องหน้าน้ำตกเกริงกระเวีย
บรรยากาศน้ำตกจากบริเวณถนนหลวงมองเข้าไป
ด้านในน้ำตกเกริงกระเวีย
เมื่อเดินลึกเข้าไปนิดหน่อย จะพบจุดที่ผู้คนนิยมมาถ่ายรูปกัน
     หลังจากที่พักชมบรรยากาศ พร้อมทานอาหารกลางวัน พวกเราจึงออกเดินทางไปสังขละบุรีต่อ แต่แล้วระหว่างทางก็พบจุดน่าสนใจอีกแห่ง นั่นคือจุดชมวิวป้อมปี่

     จุดชมวิวป้อมปี่ เป็นจุดชมวิวที่อยู่ริมอ่างเก็บน้ำเขื่อนเขาแหลม ห่างจากที่ทำการอุทยานแห่งชาติเขาแหลม ประมาณ 2 กิโลเมตร ห่างจากน้ำตกเกริงกระเวียประมาณ 10 กิโลเมตร บนถนนเส้นเดียวกัน เป็นสถานที่ที่เหมาะแก่การพักผ่อนหย่อนใจ กางเต๊นหรือพักกับบ้านพักของอุทยานก็ได้ และมีกิจกรรมทางน้ำมากมายให้สัมผัส

จุดชมวิวป้อมปี่
บรรยากาศ ณ จุดชมวิวป้อมปี่
บรรยากาศ ณ จุดชมวิวป้อมปี่
บรรยากาศ ณ จุดชมวิวป้อมปี่

     เนื่องด้วยพวกเราต้องไปถึงที่หมายก่อนเย็น เพราะกลัวจะหาที่พักไม่เจอ จึงรีบออกเดินทางกันต่อ เส้นทางที่เหลือนั้นเป็นการขึ้นลงภูเขามากมาย ชันบ้าง ไม่ชันบ้าง แต่ก็ไม่ถือว่ายากต่อการขับขี่ แม้กระทั่งในตอนที่พวกเราไปนั้นเป็นฤดูฝนและฝนตกเป็นช่วง ๆ  ก็ตาม

     ที่พักที่พวกเราจองไว้นั้นคือที่ Coffee berry ซึ่งเป็นหนึ่งในร้านกาแฟขึ้นชื่อของสังขละบุรีและอยู่ใกล้สะพานมอญมาก ๆ  แม้จะไม่ริมแม่น้ำก็ตามแต่ก็เดินจากที่พักเพียงไม่ไกล

     เมื่อพวกเราเก็บข้าวของและรอฝนซา พวกเราก็ออกเดินไปยังสะพานมอญเพื่อชมบรรยากาศของสะพานมอญซึ่งถือเป็นจุดขายสำคัญของเมืองสังขละบุรีแห่งนี้ (ในช่วงที่เราไปนั้นสะพานมอญกำลังขาดและยังซ่อมแซมไม่เสร็จ)

     สะพานมอญ หรือ สะพานอุตตมานุสรณ์ เป็นสะพานไม้ที่ยาวที่สุดในประเทศไทย มีความยาว 850 เมตร และเป็นสะพานไม้ที่ยาวเป็นอันดับ 2 ของโลก สะพานนี้สร้างขึ้นเพื่อใช้เดินทางไปมาระหว่างชาวมอญและชาวไทยที่อาศัยในบริเวณนี้ โดยการนำของหลวงพ่ออุตตมะ เจ้าอาวาสวัดวังก์วิเวการาม


สะพานมอญ
บรรยากาศจากบนสะพานมอญ มีสะพานไม้สร้างขึ้นมาใช้ข้ามฟากแทนชั่วคราวอยู่เคียงคู่กัน

เรือโดยสาร
เรือโดยสารที่แล่นไปมาทั้งวัน ณ บริเวณสะพานมอญ

สะพานไม้
เมื่อมองลงไปจากสะพานมอญจะเห็นบรรยากาศอย่างนี้เป็นประจำ

สะพานมอญขาด
สะพานมอญที่ขาดลงเพราะกระแสน้ำที่พัดพาท่อนซุงมามากมาย
     หลังจากนั้นพวกเราจึงไปต่อกันที่วัดวังก์วิเวการาม ซึ่งจะต้องเดินทางข้ามฟากจากฝั่งที่พักไปยังฝั่งหมู่บ้านมอญ

     วัดวังก์วิเวการาม หรือ วัดหลวงพ่ออุตตมะ เป็นวัดที่หลวงพ่ออุตตมะร่วมกับชาวบ้านชาวกะเหรี่ยงและชาวมอญสร้างขึ้นมา เป็นวัดที่มีความสวยงามของสถาปัตตยากรรมหลายสิ่ง ซึ่งแต่เดิมนั้นอยู่บนเนินสูงในบริเวณที่เรียกว่า สามประสบ แต่หลังจากการสร้างเขื่อนวชิราลงกรณ์ทำให้น้ำท่วมบริเวณนั้น จึงย้ายมาสร้างอยู่บนเนินเขาใกล้เคียง

     เนื่องจากเวลาที่ไปถึงก็เย็นมากแล้ว แต่ด้วยเวลาจำกัดและชาวบ้านบอกกับเราว่าวันนี้จะมีประเพณีตักบาตรดอกไม้ที่วัด ซึ่งในหนึ่งปีมีเพียงครั้งเดียว พวกเราจึงรีบไปโดยไม่อยากพลาดการรับชมประเพณีนี้ จึงเก็บภาพมาได้เพียงบางส่วนเท่านั้น


พระพุทธรูป

พระพุทธรูปยิ้มพระประเทศไทยหลวงพ่ออุตตมะ



เด็กสาวมอญ
เด็กหญิงชาวมอญจุดเทียนตามประเพณี
หญิงชาวมอญ
หญิงสาวชาวมอญเริ่มนำดอกไม้จัดใส่แจกันอย่างสวยงามมาถวาย
ตั้งเหรียญ
ความเชื่อที่ว่าหากตั้งเหรียญบนรอยพระพุทธบาทได้สำเร็จจะสมหวังดังที่อธิษฐานไว้
ธูปเทียน
เชิงเทียนที่เต็มไปด้วยเทียนจากผู้มาสักการะบูชา ณ วัดหลวงพ่ออุตตมะแม้จะมืดค่ำแล้ว
     เช้าวันต่อมา เป้าหมายของพวกเรานั้นไม่ต่างกับนักท่องเที่ยวกลุ่มอื่น ๆ  ที่มาเที่ยวสังขละบุรี นั่นก็คือการทำบุญตักบาตรยามเช้า ณ หมู่บ้านมอญ ซึ่งที่นี่ทั้งชาวบ้านและนักท่องเที่ยวจะมาต่อแถวเรียงรายอย่างพร้อมเพรียงรอเวลาที่พระออกเดินบิณฑบาตยามเช้า พวกเราจึงไปเข้าร่วมก่อนที่จะไปทานมื้อเช้ากัน
สาวมอญ
ไกด์สาวเจ้าถิ่น ผู้ซึ่งมีผู้คนนิยมขอถ่ายรูปด้วยมากมาย


เด็กสาวชาวมอญทูนของบนดอกไม้เพื่อหารายได้เสริม

ดอกไม้
ดอกเข้าพรรษา
ขนมขนมมอญ
ขนมทานเล่นระหว่างรอเวลา
ตักบาตร
บรรยากาศการทำบุญตักบาตรอย่างพร้อมเพรียงกัน (เหมือนแย่งกันมากกว่า 555)


ฝูงชนต่อแถว

ทูนโถข้าว
ปิดจ๊อบด้วยการทูนโถข้าวไว้หลายชั้น เพื่อให้นักท่องเที่ยวมาร่วมถ่ายรูป
โจ๊กหมู
โจ๊กหมูชาวมอญ จากร้านดัง ณ บริเวณนั้น คนแน่นมากถึงขนาดต้องต่อคิวกันเลย
(รสชาติก็งั้น ๆ  เหมือนโจ๊กบ้านเรานั่นแหละ -"-)
     ภารกิจต่อไปของพวกเรานั้นคือการไปเยี่ยมชมโบสถ์จมน้ำ ซึ่งโดยปกติในฤดูฝนซึ่งมีน้ำมาก โบสถ์จะจมน้ำและเห็นเพียงส่วนบน แต่จะเพิ่มสถานที่เยี่ยมชมอื่นขึ้นมา หากน้ำน้อย จะได้เห็นโบสถ์ทั้งหลังแบบไม่จมน้ำ แต่จะไม่สามารถเยี่ยมชมที่อื่นได้ ส่วนวันที่เราไปนั้น เนื่องจากทางหน่วยราชการลดปริมาณน้ำในเขื่อนเพื่อการซ่อมแซมสะพานมอญทำให้เราได้เยี่ยมชมโบสถ์แบบเต็ม ๆ  หลังกัน


ป้ายห้าม
ป้ายห้ามนักท่องเที่ยวเข้าไปใกล้บริเวณที่สะพานขาด

หมาน้อย
แวะเล่นกับน้องหมาก่อนไปถึงเรือโดยสาร

นอนสบาย
น้องหมาตัวนี้นอนสบายจัง

เรือพาเที่ยว
บรรยากาศที่จะได้พบเห็นจากการนั่งเรือเพื่อไปชมโบสถ์จมน้ำ

บรรยากาศบนเรือ
อีกสักภาพ

โบสถ์
โบสถ์จมน้ำในวันที่ไม่จมน้ำ

ขายดอกไม้
เด็กสาวชาวมอญขายดอกไม้บูชา ณ โบสถ์จมน้ำ

เศียร
เศียรพระพุทธรูปมองออกไปยังแม่น้ำสายนี้

โบสถ์
อีกสักมุม

เห็นเจดีย์จากแม่น้ำด้วยหละ

ขาใหญ่เฝ้าหัวเรือในคณะเดินทางครั้งนี้

แม่ชีมอญแต่งกายชุดชมพูดูสวยงามยิ่ง

ข้อคิดเล็ก ๆ  จากโต๊ะ ณ ร้านกาแฟ
     หลังจากนั้นพวกเราก็เก็บข้าวของเดินทางกลับเนื่องจากยังมีจุดหมายอื่นที่ต้องไปต่อ ขอเก็บไว้เขียนคราวหน้านะครับ >_<

สรุป
     - สังขละบุรีเป็นเมืองที่สงบเงียบมาก หากเผลอตัวอาจจะไม่อยากกลับมาทำงานเลยก็เป็นได้
     - การเดินทางสะดวกสบายไม่ยากลำบาก แต่ควรให้ผู้ชำนาญการขับขี่เป็นผู้ขับจะดีกว่า
     - สะพานมอญในวันนี้ซ่อมเสร็จแล้ว ภาพสะพานมอญที่ขาดนั้นคาดว่าจะไม่มีอีกแล้ว
     - สาวมอญน่ารักและสวยจนอยากให้ไปเห็นด้วยตาตัวเอง
     - ที่พักที่สังขละบุรีมีมากมาย หลายระดับ รวมทั้งโฮมสเตย์ก็เช่นกัน

ปล. ชอบก็แชร์ได้นะครับ...

--- Share this ---